Negative feedback ให้อย่างไร พนักงานไม่เสียใจ องค์กรไม่เสียงาน

เชื่อว่าการให้ feedback เชิงลบ หรือ negative feedback เป็นสิ่งที่หัวหน้าหลายท่านหนักใจและคิดเป็นอย่างหนักเวลาที่จะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับพนักงาน เพราะสาเหตุหลักที่หัวหน้าไม่ต้องการพูดถึงนั้น เพราะกลัวจะทำ ให้พนักงานรู้สึกไม่ดี รู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกแย่กับการได้รับข้อมูลเชิงลบ เกี่ยวกับตัวเอง และกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันหลังจากนั้น ทำให้หัวหน้าหลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหรือพูดอ้อมๆ เกี่ยวกับสิ่ง ที่ต้องการให้พนักงานพัฒนาและหวังว่าอยู่ลึกๆ ว่า พนักงานในทีมตัวเองนั้น จะเข้าใจได้เอง

จากผลงานวิจัยที่ทำการสำรวจจากหัวหน้าพบว่า

  • 43% ของการให้ feedback เชิงลบสร้างความเครียดและอึดอัดให้กับหัวหน้า เป็นอย่างมาก (Zenger and Folkman study)
  • แต่ในทางตรงกันข้ามพบว่า ข้อมูลจาก Globoforce Study พนักงานมากกว่า 65% ต้องการ feedback ที่มากกว่าที่เขาได้รับอยู่จากหัวหน้า ของเขาในปัจจุบัน 
  • และ 83% พบว่า พนักงานรู้สึกดีที่ได้รับข้อมูล feedback เกี่ยวกับการทำงานของเขาไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบก็ตาม 

การได้รับ feedback เชิงลบอย่างเหมาะสมจะสร้างการรับรู้ และทำให้พนักงานรู้สึกได้ว่า “งานที่กำลังทำอยู่นั้นมีคุณค่า” เพราะถ้าไม่อย่างนั้นหัวหน้าคงไม่ได้ใส่ใจ พนักงานสามารถตีความเกี่ยว กับงานของตัวเองได้ว่างานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่นั้นไม่ได้สำคัญและไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อใครมากหนัก การรับรู้ถึงคุณค่าในงานของตัวเองต่ำลงและจะส่งผลต่อการทำงานของเขาเอง

จากข้อมูลที่กล่าวมาเราจะเห็นได้ถึงความสำคัญของการให้ feedback ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการให้ feedback เชิงลบนั้นถ้าหัวหน้ารู้จักวิธี การสื่อสารที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพแล้วนั้น นอกจากจะไม่ทำให้ เกิดการรู้สึกไม่ดีระหว่างกันแล้ว ยังจะสามารถพัฒนาตัวพนักงาน ให้เติบโตในสายงานนั้นๆ แล้วยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ สร้างความไว้วางใจ แสดงถึงความหวังดีระหว่างกันอีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่สำคัญของการ feedback เชิงลบนั้นคือการมั่นใจว่าเราสื่อสาร และใช้วิธีการพูดคุยด้วยวิธีที่เหมาะสม

บทความนี้จะนำ 3 เทคนิคการให้ feedback เชิงลบ เป็นเครื่องมือจะช่วย ให้หัวหน้าสามารถให้ feedback เชิงลบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

1. เทคนิค 3-2-1 

เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่เกิดจากวิจัยของ DR.John Gottman จะมีความคล้าย กับเทคนิคแซนด์วิชที่หัวหน้าหลายท่านคุ้นเคย แต่เพิ่มเติมในเรื่องของ “สัดส่วนข้อมูล” ที่พบว่าสัดส่วนของการให้ feedback เชิงบวกและ feedback เชิงลบนั้นมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งเขาพบว่า “สัดส่วนที่เหมาะสมคือ feedback เชิงบวกอย่างน้อย 3 ส่วนต่อ feedback เชิงลบ 1 ส่วน”

สัดส่วนนี้จะเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมและจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง หัวหน้าและพนักงานรวมทั้งพัฒนาผลการทำงานอีกด้วย

ตัวอย่างของการใช้เทคนิค 3-2-1 คือ

  1. ขั้นตอนแรกคือ บอก 3 สิ่งที่เขาทำได้ดี สิ่งที่ส่งมอบได้อย่างน่าประทับใจ
  2. ต่อมาด้วย 1 สิ่งที่คิดว่าพนักงานคนๆ นั้นควรพัฒนา ปรับปรุง
  3. ปิดท้ายด้วยสิ่งที่หัวหน้าประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่พนักงานทำ 

2. เทคนิค Start-Stop-Continue

เทคนิคนี้จะทำให้พนักงานได้รับข้อมูลที่ชัดเจนว่าสิ่งไหนที่ทำได้ดี ส่งผลดีต่อผลการทำงานของตัวเขาและองค์กรสิ่งไหนที่ควรทำต่อหรือหยุดทำ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้

  • ส่วนที่ 1 STOP 
    • สิ่งที่หัวหน้ามองว่าพนักงานควรหยุดทำ ด้วยสาเหตุที่เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ เกิดประโยชน์ สูญเสียเวลา ทรัพยากรโดยไม่เกิดประโยชน์ หรือเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบเชิงลบให้กับตัวพนักงาน, ทีมหรือองค์กร 
  • ส่วนที่ 2 START 
    • สิ่งที่หัวหน้ามองว่าพนักงานควรจะเริ่มทำ เป็นสิ่งใหม่ พฤติกรรมใหม่ ที่ถ้าพนักงานทำจะเป็นการพัฒนาพนักงานและส่งมอบงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ส่วนที่ 3 Continue 
    • ส่วนสุดท้ายคือ สิ่งที่พนักงานทำมาอยู่แล้ว เป็นสิ่งดีที่ควรจะทำต่อไป เป็นการคอนเฟิร์มอีกครั้งจากหัวหน้า สร้างความมั่นใจให้กับพนักงานให้ดำรง และทำสิ่งๆ นั้นต่อไป

3. เทคนิค EEC (Evidence – Effect – Change) 

เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้พนักงานเรียนรู้จากสิ่งที่ทำอยู่ จากผลงานที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาต่อไป โดยเทคนิคนี้มีทั้งหมด 3 สเตปดังนี้

  • สเตปแรกคือ หลักฐาน (การกระทำ)
    • ตย. พนักงานไม่ได้เตรียมข้อมูลเปรียบเทียบก่อนและหลังการอบรมหลักสูตร A มาในวันประชุมที่จะมีการสรุปหลักสูตรประจำปี
  • สเตปที่สองคือ  ผลกระทบ (ผลของการกระทำ)
    • ตย. ที่ประชุมไม่สามารถสรุปหลักสูตรประจำปีได้ เพราะขาดข้อมูลที่สำคัญ ในการจะช่วยตัดสินใจ
  • สเตปที่สาม คือ ปรับเปลี่ยน
    • ตย.รอบหน้าพนักงานต้องมั่นใจและเช็คก่อนเข้าประชุมว่าเราเตรียมข้อมูล ที่สำคัญเรียบร้อยแล้ว โดยอาจจะทำเป็นเช็คลิสต์หรือคอนเฟิร์มกับทีม ถึงข้อมูลที่ต้องเตรียมก่อนวันสำคัญ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าทั้ง 3  เทคนิคนั้น มีข้อมูลที่มากกว่า “พนักงานทำสิ่งนั้นไม่ดี” แต่จะมีการให้ข้อมูลพิ่มเติมด้านอื่นๆ  ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสิ่งที่พนักงาน ท่านนั้นทำได้ดีหรือการชี้ให้เห็นผลของการกระทำอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งจะแสดงให้พนักงานให้ว่า หัวหน้าให้ความสนใจและให้ความสำคัญในการพัฒนาพนักงานแต่ละท่านจริงๆ  

นี้ก็เป็น 3 เทคนิควิธีที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือให้หัวหน้าสามารถให้ feedback เชิงลบที่มีประสิทธิภาพให้กับพนักงานได้ และจะช่วยคลายความกังวล ในเรื่องการสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อพนักงานให้หัวหน้าได้อีกด้วย