ปัจจุบันองค์กรต้องพร้อมรับมือกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การแข่งขันในตลาด ผู้นำจึงมีความสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ แต่บางครั้งผู้นำที่อยู่ในตำแหน่ง ก็อาจก่อให้เกิดช่องว่างในการทำงาน หลายองค์กรจึงต้องดำเนินการไปตามลำดับขั้น ซึ่งกว่าผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจได้รับทราบข้อมูล หรือปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็อาจล่าช้าไป หนทางแก้ปัญหาเหล่านี้ที่หลาย ๆ องค์กร มักจะทำคือ การจัดโครงสร้างองค์กร ให้ “FLAT” เข้าใจอย่างง่าย ๆ ก็คือ โครงสร้างองค์กรที่มีความราบเรียบ มีระดับชั้นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะออกแบบได้ เพื่อให้กระบวนการทำงานหรือการตัดสินใจรวดเร็วขึ้น มีความสั้นกระชับที่สุด ถือเป็นการลดช่องว่างระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร และยังช่วยลดความผิดพลาดในการสื่อสารได้อีกด้วย
แต่การบริหารงานในปัจจุบัน ผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งอาจมีไม่เพียงพอ องค์กรจำเป็นที่จะต้องสร้างภาวะผู้นำในทุกระดับ และทุกตำแหน่งงาน หรือ Leadership at all levels เพื่อสร้างความพร้อมที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร และสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน
จากบทความของ Infoprolearning พบว่า 83% ขององค์กรกล่าวว่า การพัฒนาภาวะผู้นำในทุกระดับเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างความพร้อมและร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้
ในขณะที่สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทยหรือ PMAT (Personnel Management Association of Thailand) ได้เปิดเผยผลสำรวจ HR Trend for The Next Normal 2021 ด้วยทำการสำรวจประเด็นด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่องค์กรและผู้บริหารสูงสุดให้ความสำคัญ โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 1,485 คน จาก 30 กว่ากลุ่มธุรกิจ เกี่ยวกับประเด็นสำคัญที่องค์กรหรือผู้บริหารสูงสุดขององค์กรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปี 2021 พบว่า 59.87% เป็นเรื่องของการพัฒนาความสามารถของผู้นำทุกระดับขององค์กร (leadership at all level) เพื่อสร้างความพร้อมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
3 สิ่งที่สามารถบ่งบอกภาวะผู้นำในตัวคุณ
1.มีความรับผิดชอบ อย่าแค่ “เสร็จ” แต่ต้อง “สำเร็จ”
หากคุณรับรู้สิ่งที่ได้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของตนเอง และภาระงานต่างๆที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงบทบาทหน้าที่ของทีมงานเพื่อการบริหารจัดการงาน พร้อมส่งมอบผลงานตามตัวชี้วัดงานให้เรียบร้อย เช่น ส่งมอบงานให้ลุล่วงตามกำหนดเวลา โดยงานที่ทำนั้นไม่ใช่เพียงแค่เสร็จ แต่ยังประสบความสำเร็จอีกด้วย โดยความแตกต่างของงานที่เสร็จ และสำเร็จคือ งานที่ส่งมอบเพียงเพื่อให้ “เสร็จ” งานไป คือ งานที่ทำเพื่อปิดจบงานนั้น ให้พ้นจากความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่างานนั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้หรือไม่ โดยเมื่อหลังจากเสร็จงานอาจมีปัญหาอื่นตามมาได้ แต่งานที่ “สำเร็จ” ผลงานที่ส่งมอบน้ั้น จะมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ มีผลงานที่เป็นเลิศ สามารถสร้างประโยชน์ได้ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามหลังมา
2. รักษาสัญญา เมื่อรับปากแล้วไม่ยอมเสียสัจจะ
อีกคุณสมบัติที่สำคัญของผู้ที่มีภาวะผู้นำ คือการรักษาสัญญาที่ได้รับปากไว้ว่าจะทำสิ่งนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาสัญญาทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น การรักษาคำพูดนอกจากจะบ่งบอกความเป็นผู้นำแล้วยังบ่งบอกความน่าเชื่อถือ ความเป็นมืออาชีพของผู้พูดได้อีกด้วย ดังนั้นหากต้องรับปากสิ่งใด สิ่งสำคัญคือการคิดไตร่รองอย่างดี และรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความรู้สึก ความไว้เนื้อเชื่อใจของคนรอบข้าง และไม่ให้กระทบกับงานที่ได้รับมอบหมาย เช่น งานอาจล่าช้ากว่ากำหนด เสียงบประมาณเพิ่มขึ้น เสียความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย หรือเกิดความเสียหายอื่นๆ ที่จะตามมาอีกได้
3. ตระหนักรู้เห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น เราเก่งกันคนละด้าน
ผู้ที่เห็นคุณค่าหรือข้อดีที่มีในตนเอง รวมถึงผู้อื่น จะสามารถเปิดใจ โน้มน้าว เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจถึงความแตกต่างในแต่ละตัวบุคคล ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานร้วมกัน เพื่อนำเอาความสามารถที่หลากหมายมาส่งเสริมจุดแข็งและจัดการจุด้อย ทำให้ทีมงานมีความแข็งแกร่งยิ้งขึ้น รวมถึง ต้องมีการเปิดพื้นที่เพื่อการเคารพตนเองและผู้อื่นตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันก็มีเครื่องมือที่เข้ามาเป็นตัวช่วยในการสะท้อนบุคลิกที่แต่ละคนมีเพื่อมองหาคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในตัวได้ เช่น DISC MODEL ที่จำแนกบุคลิกของคนออกมาเป็น 4 รูปแบบ คือ Dominance Influence Steadiness และ Conscientious ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าคนแต่ละรูปแบบมีคุณค่าต่อองค์กร หรือรูปแบบในการสร้างแรงจูงใจอย่างไร หากผู้นำสามารถจับจุดนี้ได้ ก็จะสามารถมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่และนำออกมาใช้ประโยชน์เพื่อก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้
คุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ จากการเรียนรู้ ฝึกอบรม การลงมือทำ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาความเป็นผู้นำที่เหมาะกับสไตล์ของตัวคุณเอง เพื่อประโยชน์ในการทำงานของคุณที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งงานไหนก็ตาม เพราะปัจจุบันองค์กรต้องการ Transformative Leadership ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน แต่หากคุณมีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งจึงจะสร้างผลงาน คุณควรภูมิใจสามารถบอกกับตนเองได้ว่า คุณมีภาวะผู้นำ คุณสามารถผลักดันตนเอง สร้างความร่วมมือกับทีม และสร้างผลลัพธ์ที่ดีเพื่อจะขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง