การบริหารองค์กรในยุค Next Normal ที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รูปแบบการทำงาน พฤติกรรมของพนักงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกฝ่ายต่างต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก่อนที่จะขับเคลื่อนเพื่อพาองค์กรให้อยู่รอดทั้งในสถานการณ์ปกติและในสถานการณ์วิกฤตินั้น หัวหน้าหรือผู้นำ ต้อง ด้วยการกลับมาทบทวนและทำความเข้าใจตนเองเพื่อประเมินศักยภาพที่โดดเด่นและส่วนที่ต้องการหนุนเสริม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นขับเคลื่อนตัวเองเพื่อเป็นต้นแบบก่อน และทำการกำหนด Mission (ภารกิจ) ของตนเองให้รอดเช่นกัน
การเป็นผู้นำที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและท้าทายเช่นนี้ การที่จะเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ มีความรู้ ความถนัด ความสามารถครบทุกด้าน ลงมือทำทุกอย่างได้เองคงเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญคือ ความสามารถในการเข้าใจบริบท สถานการณ์ และสามารถเรียนรู้ พร้อมทั้งนำสิ่งต่างๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา โดย 3 ภารกิจสำคัญที่ผู้นำไม่ควรมองข้าม คือ
- กำหนดและรับรู้วิสัยทัศน์ (Vision)
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางขององค์กรให้มีความชัดเจน พร้อมกับมีการสื่อสารออกไปให้ทุกภาคส่วนของหน่วยงานได้รับทราบและเข้าใจเพื่อให้ทุกคนมองเห็นเป้าหมายเดียวกันและบริหารจัดการงานที่ได้รับมอบหมายต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายไปพร้อมกัน ถ้าคุณเป็นผู้บริหารระดับสูง คุณก็มีส่วนในการกำหนดวิสัยทัศน์ แต่ถ้าคุณเป็นผู้นำระดับกลาง คุณก็สามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยการ Leading Your Team ให้เข้าใจ มุ่งมั่นสร้างผลงานตอบโจทย์วิสัยทัศน์ได้
ดังนั้น บุคลิกของผู้นำควรจะเป็นคนที่คิดเชิงรุก มองเห็นและแสวงหาโอกาส มุมมองความเป็นไปได้ต่างๆหรือคาดการล้วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง หรือรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและทันเหตุการณ์ พร้อมกับมีความกล้า ที่จะทำใส่สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกว่าเดิม ทั้งกล้าจะแสดงความคิดเห็น เสนอแนวคิดใหม่ๆ พร้อมเผชิญกับความท้าทายต่างๆที่เข้ามา สามารถยอมรับในการตัดสินใจของตัวเองถึงแม้จะต้องพบกับความเสี่ยงที่จะมีข้อผิดพลาด และเปิดโอกาสให้ทีมงานกล้าคิดกล้าทำมี รวมถึงบุคลิกที่มี่มุมมองสำหรับการประเมินและบริหารความเสี่ยงโดยสามารถพิจารณาไตร่ตรองความเป็นไปได้ ความเสียหาย หรือผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อองค์กร ซึ่งในบางครั้งอาจะส่งผลต่อเนื่องในวงกว้าง ผู้นำจึงต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากแหล่งข้อมูลต่างๆ สอบถามความคิดเห็นหลายๆด้านจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อนำมาทดลองหรือมองอย่างรอบด้าน ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสที่งานจะประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น
- สร้างทีม (Team)
การสร้างทีมที่แข็งแกร่ง ผู้นำต้องสามารถให้ความชัดเจนกับสมาชิกในทีมได้ทั้งด้านการมอบหมายงาน ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อจบงาน รวมทั้งข้อมูลสนบัสนุนอื่นๆ เพราะความชัดเจนจะส่งผลต่อการลงมือปฏิบัติ การตัดสินใจเป็นอย่างมาก แต่การให้ข้อมูลที่ชัดเจนอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอเพราะการสร้างทีมงานเป็นการบริหารจัดการคนที่มีความหลากหลายทั้งความสามารถ ทัศคติ อารมณ์ความรู้สึก การจูงใจและสื่อสารให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีส่วนสำคัญโดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ การจัดองค์กรหรือจัดทีมในแบบเดิม อาจจะไม่สามารถสร้างผลงานได้สูงสุด ดังนั้น ผู้นำจึงต้องใช้เวลาในการวางหมากบนกระดานแบบใหม่ เพื่อจัดทีมหรือกองกำลังที่จะทำงานได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพอย่างรวดเร็ว มีการสื่อสารประสานงานกันได้อย่างคล่องตัว เป็นทีมที่มีทัศนคติพร้อมเติบโตแบบ Growth Mindset อย่างจะพัฒนาตนเองพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความเข้มแข็งของที่ม ที่ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย
ดังนั้น บุคลิกของผู้นำที่ที่จะสร้างการทำงานเป็นทีมได้นั้น ก็ต้องเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน สื่อสารทีมงานด้วยการสร้างแรงจูงใจพร้อมสนับสุนการทำงานอย่างเต็มที่ และบริหารบรรยากาศการทำงานร่วมกันแบบเน้นความร่วมมือ การมีส่วนร่วม
- ลงมือปฏิบัติ (Action)
เมื่อเป้าหมายพร้อม ทีมพร้อม หัวใจสำคัญคือการลงมือทำอย่างจริงจัง โดยดึงศักยภาพทีมงานออกมาใช้ ซึ่งผู้นำหรือหัวหน้ายุคนี้ คงหมดยุคคำว่า “ยิ่งตำแหน่งสูง ๆ แล้วยิ่งทำงานสบาย” เพราะยิ่งคุณดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ ยิ่งต้องเป็นต้นแบบในการลงมือทำให้เห็นฝีไม้ลายมือในการบริหารงาน เช่น การวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม การโค้ช การสร้างแรงจูงใจ การแก้ปัญหาที่ทันที เพื่อนำไปสู่ทีมที่มีการลงมือปฏิบัติแบบเป็นระบบหรือมีแผนการทำงานในการปฏิบัติงานที่ชัดเจนที่มีความเคลื่อนตัวได้เร็ว สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างความน่าเชื่อถือศรัทธาในใจของลูกทีมของคุณ
ดังนั้น บุคลิกของผู้นำที่จะนำไปสู่การลงมือปฏิบัติได้นั้น จะไม่เน้นที่แผนงานเพียงอย่างเดียวต้องสามารถโค้ชทีมงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทีมงานเกิดนการพัฒนาทักษะจากการทำงานจริง มีการสะท้อนจุดเด่นและจุดที่ต้องปรับให้ทีมงานมีพัฒนาการให้การทำงาน สามารถปฏิบัติงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับต้องสื่อสารเน้นเรื่องกระบวนการขับเคลื่อนผลงานที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้ ผลักดันให้งานประสบความสำเร็จเห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสร้างระบบการทำงานที่มีหลักการ และต้องนำไปปฏิบัติได้จริง พร้อมกับเชื่อมโยงกันระหว่างระบบงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ
3 ภารกิจที่จะช่วยอัพเกรดความเป็นผู้นำ ให้เป็นผู้นำยุคใหม่ที่ตอบโจทย์อย่างรอบด้าน และเป็นการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินไปข้างหน้าอย่างคล่องตัว เชื่อว่าผู้นำของทุกองค์กรสามารถลงมือทำได้ไม่เกินความสามารถอย่างแน่นอน